top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียน

ฝ้า กับวิธีการ รักษาฝ้า อย่างถูกวิธี

ฝ้า (Melasma, Mask of pregnancy) รักษาฝ้า ให้ได้ผลชัดเจน

ฝ้า เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย มีลักษณะเป็นปึ้นหรือแผ่นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม พบมากที่สุดบนใบหน้า และพบมากในผู้หญิงถึง 90 % โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยกลางคน อายุประมาณ 30-40 ปี ชนชาติที่พบ ฝ้า ได้บ่อยคือ ชาวลาตินอเมริกา ชนชาติเอเชีย แอฟริกา และชาวอาหรับตามลำดับ

ฝ้า มีลักษณะอย่างไร?

ฝ้า มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลอ่อนถึงเข้ม อาจมีสีดำ สีเทา สีน้ำตาลลอมเทา หรือ สีม่วงอมน้ำเงิน ขึ้นกับชนิดของฝ้า ตำแหน่งที่พบ ฝ้า ได้บ่อย คือ บริเวณใบหน้าที่มีโอกาสสัมผัสกับแสงแดดมากๆ เช่น โหนกแก้ม หน้าผาก จมูก เหนือคิ้ว และบริเวณเหนือริมฝีปาก โดย ฝ้า นั้นมักเป็นทั้งสองข้างของบริเวณที่เกี่ยวข้อง คือ ซ้ายและขวา นอกจากนี้ยังอาจพบ ฝ้า ได้ที่บริเวณแขนส่วนล่าง และหน้าอกส่วนบน

สาเหตุของการเกิด ฝ้า  ฝ้า มีสาเหตุมาจากอะไรรึ คนจำนวนมากก็สงสัยเช่นกัน สาเหตุที่แท้จริงของ ฝ้า นั้นยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด ตามทฤษฎีเชื่อว่า ฝ้าเกิดจากการที่เซลล์สร้างเม็ดสี (Melanocytes) ที่อยู่ใต้ผิวหนังทำงานมากขึ้นกว่าปกติ จึงเกิดการสร้างเม็ดสี (Malanin)เพิ่มขึ้น

ชนิดของ ฝ้า ฝ้า แบ่งเป็น 4 ชนิด คือ          1. ฝ้าตื้น (Epidermal Type)เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีสร้างและลำเลียงเม็ดสีขึ้นสู่ผิวหนังชั้นบนสุด(ชั้นหนังกำพร้า)จึงทำให้ ฝ้า ชนิดนี้มีลักษณะเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือดำ และมักมีขอบเขตชัดเจน          2. ฝ้าลึก (Dermal Type)เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสีสร้างเม็ดสีออกมาอยู่ในชั้นหนังแท้ จึงทำให้ ฝ้า ชนิดนี้มักจะมีสีอ่อนกว่าชนิด ฝ้าตื้น โดยอาจมีสีน้ำตาลอ่อน สีเทา สีน้ำตาลเทา หรือสีม่วงอมน้ำเงิน นอกจากนี้ยังมีขอบเขตไม่ชัดเจน โดยมักมีสีกลืนไปกับผิวหนังปกติรอบข้าง          3. ฝ้าผสม (Mixed Type)คือมีการผสมกันทั้ง ฝ้าตื้น และ ฝ้าลึก ซึ่ง ฝ้าผสม เป็นชนิดที่พบมากที่สุดในคนไข้ทั่วไป          4. ฝ้า ที่ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนว่าเป็น ฝ้า ชนิดใด (Indeterminate Type)มักพบในผู้ที่มีสีผิวเข้มมากหรือคล้ำมาก เช่น ในชนชาติแอฟริกัน เป็นต้น

ปัจจัยที่ทำให้เกิด ฝ้า มีอะไรบ้าง?          1.แสงแดด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นแสงยูวีเอ (UVA - Ultraviolet A) แสงยูวีบี (UVB - Ultraviolet B)และแสงที่ตามองเห็น (Visible Light)โดยสังเกตได้จากบริเวณที่เกิด ฝ้า นั้นมักเป็นบริเวณที่สัมผัสกับแสงแดดมากกว่าบริเวณอื่น          2.ฮอร์โมนเพศ ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงานมากขึ้น เช่น ในภาวะตั้งครรภ์ วัยหมดประจำเดือนที่ต้องทานยาฮอร์โมน การทานยาคุมกำเนิดหรือ การใช้เครื่องสำอางค์ที่มีฮอร์โมน หรือสารสกัดจากรก (Placental Extract) มักพบผู้เป็น ฝ้า ในภาวะดังกล่าวได้บ่อย          3.พันธุกรรม มีรายงานว่าพบการเป็น ฝ้า ในครอบครัวได้เกือบ 50 %          4.ภาวะทุพโภชนาการ (โภชนาการที่ไม่ดี ได้อาหารไม่ถูกต้องมากหรือน้อยเกินไป) อาจมีส่วนเกี่ยวข้องเนื่องจากพบผื่นแบบ ฝ้า ในผู้ที่มีการทำงานของตับผิดปกติ และผู้ที่ขาดวิตามินบี 12 เป็นต้น          5.เครื่องสำอางค์ เกิดจากการแพ้เครื่องสำอางค์ ซึ่งก่อให้เกิดการระคายต่อผิว เกิดผิวหนังอักเสบและรอยดำคล้าย ฝ้า ตามมา มีรายงานจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า มากกว่า 95 % ของผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าว มีผื่นผิวหนังอักเสบเกิดขึ้น หลังจากทำการทดสอบสารแพ้ที่ผิวหนัง(Patch Test) จึงเป็นการยืนยันเพิ่มเติมว่า การแพ้สารบางอย่างในเครื่องสำอางค์ สามารถก่อให้เกิดรอยคล้ำคล้าย ฝ้า ได้          6.ยาบางชนิด เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโทอิน (Phenytoin-related anticonvulsants)และกลุ่มยาที่มีปฎิกิริยาไวต่อแสง(Phototoxic drugs)เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมียาทาที่อาจก่อให้เกิดจุดสีดำอมเทาคล้าย ฝ้า (Ochronosis) ใต้ผิวหนังได้ เช่น ยากลุ่มไฮโดรควิโนน (Hydroquinone)ดังนั้น การใช้ยาชนิดนี้จึงควรอยู่ในการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด

ป้องกัน ฝ้า ได้อย่างไร?          1.การป้องกันแสงแดด สำคัญที่สุดในการ รักษาฝ้า ทุกชนิด หากไม่มีการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัดนั้น มักทำให้การ รักษาฝ้า ได้ผลไม่ดีหรืออาจไม่ได้ผล ดังนั้นจึงควรทำการป้องกันแสงแดดอย่างเคร่งครัด ดังนี้คือ     - พยายามหลีกเลี่ยงการได้รับแสงแดดโดยตรง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 10 โมงเช้าถึงบ่าย 4 โมงเย็นซึ่งถือว่าเป็นช่วงเวลาที่มีแสงยูวีเข้มข้นที่สุด ในคนที่ต้องทำงานกลางแดดหรือชอบเล่นกีฬาที่ต้องโดนแดดเป็นเวลานานๆ เช่น กอล์ฟหรือเทนนิส และไม่สามารถหลีกเลี่ยงเวลาดังกล่าวได้ ควรหาเครื่องป้องกัน เช่น หมวก ร่มหน้ากาก หรือ เสื้อกันแสงยูวีในแสงแดด เป็นต้น              - ใช้เครื่องป้องกันแสงยูวีในแสงแดด เช่น หมวกกันแสงยูวี ร่มกันแสงยูวี หน้ากากกันแสงยูวี เสื้อผ้ากันแสงยูวี กรณีไม่สามารถหาเสื้อกันแสงยูวีได้ แนะนำให้ใส่เสื้อสีขาวแทนเสื้อสีเข้ม เช่น ดำ หรือน้ำตาล ทั้งนี้เพื่อลดการดูดกลืนแสงยูวีจากสีเสื้อ              - การใช้ครีมกันแดด โดยใช้ครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้งแสงยูวีเอ และแสงยูวีบี และมีค่าป้องกัน เอสพีเอฟ มากกว่า 30 ขึ้นไป เพื่อป้องกันแสงยูวีบี และค่าป้องกัน PA (Protection Grade of UVA)มากกว่า +2 ขึ้นไป เพื่อป้องกันแสงยูวีเอในการทาครีมกันแดดบริเวณใบหน้า ควรทาอย่างน้อย 30 นาทีก่อนออกแดด และควรใช้ในปริมาณข้อนิ้วชี้โดยอาจแบ่งทา 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งข้อนิ้ว ห่างกันครั้งละ 5 นาที ในกรณีที่ครีมกันแดดค่อนข้างมัน หรือเหนียวมาก          2.การหลีกเลี่ยงยาและฮอร์โมนเพศต้นเหตุ             - หากสาเหตุมาจากฮอร์โมนเพศที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เช่น จากภาวะตั้งครรภ์ก็คงต้องรอเวลาที่ฮอร์โมนนั้นหมดไป ซึ่งส่วนใหญ่หลังการคลอดบุตร ฝ้า ก็จะดีขึ้นตามลำดับ อย่างไรก็ตาม มีคนไข้บางส่วนที่ ฝ้า อาจติดถาวรได้     - หาก ฝ้า เกิดจากการได้รับยาหรือฮอร์โมนเพศจากภายนอก เช่น การทานยาฮอร์โมนคุมกำเนิด การทานยาที่มีผลต่อการกระตุ้น ฝ้า เช่น ยากันชักกลุ่มฟีไนโนอีน และกลุ่มยาที่มีฮอร์โมนเพศผสมอยู่ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานหรือสัมผัสกับสารดังกล่าว    โดยอาจแจ้งให้แพทย์ผู้จ่ายยาทราบเพื่ออาจมียาทดแทนยากลุ่มดังกล่าว     - กรณีสงสัยรอยดำคล้าย ฝ้า เกิดจากการใช้เครื่องสำอางให้หยุดใช้เครื่องสำอางดังกล่าว และควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการทดสอบหาสารแพ้ที่ผิวหนังต่อไป

รักษาฝ้า 1. การ รักษาฝ้า ด้วยยาทา มักได้ผลดีใน ฝ้าตื้น มากกว่า ฝ้าลึก ใน ฝ้าตื้นอาจเห็นผลจากยาทาภายใน 2 เดือน โดยสีของ ฝ้า นั้นจะจางลง ถ้าผู้ป่วยมีการใช้ยาอย่างต่อเนื่องถึง 6 เดือน จะเห็นผลชัดเจนขึ้น ส่วน ฝ้าลึก นั้น รักษาค่อนข้างยากด้วยยาทาเพียงลำพัง ยาทา รักษาฝ้า นั้นมีดังต่อไปนี้      - ยากลุ่มไฮโดรควินโนน (Hydroquinone)เป็นยาที่ใช้ในการ รักษาฝ้า เป็นหลัก โดยยาชนิดนี้จะเป็นตัวลดการสร้างเม็ดสีของเซลล์สร้างเม็ดสีใต้ผิวหนังโดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยในการสร้าง(Tyrosinase)นอกจากนี้ยังสามารถทำลายเม็ดสีบางส่วนที่อยู่ใต้ผิวหนังได้อีกด้วย         ยาชนิดนี้ทำให้เกิดการระคายเคืองสูง ผิวอาจแดง แสบ และลอกเป็นขุยได้ จึงควรเริ่มทายาในปริมาณน้อยๆ และถ้ามีอาการระคายเคืองมาก อาจใช้ยาสลับเป็นคืนเว้นคืน หรือคืนเว้นสองคืน เป็นต้น กรณีใช้ยาชนิดนี้ความเข้มข้นสูงมากกว่า 2 % เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดจุดสีดำอมเทาคล้าย ฝ้า (Ochronosis) ใต้ผิวหนังได้ การใช้ยาชนิดนี้จึงควรอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด     - ยาทากลุ่มกรดวิตามินเอ(Retinoic Acid)มีรายงานว่าการใช้ยากลุ่มนี้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 24 สัปดาห์ขึ้นไป สามารถทำให้ ฝ้า จางลงได้ดีเช่นกัน เนื่องจากยากลุ่มนี้สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองจึงควรเริ่มด้วยการใช้ยาในปริมาณน้อยๆ หรือทาบางๆ และควรทาในขณะที่หน้าแห้งสนิท เนื่องจากการทายาในขณะที่หน้าเปียกหรือชื้นอยู่นั้น อาจทำให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวแห้งมากขึ้นและก่อให้เกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นด้วย     - ยาทาที่มีส่วนผสมของไฮโดรควินโนน กรดวิตามินเอ และสารสเตียรอยด์อ่อนๆ เป็นตัวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดตัวหนึ่งเนื่องจากใช้งานง่าย การระคายเคืองจากยาค่อนข้างต่ำ เนื่องจากมีสารสเตียดอยด์อ่อนๆ เพื่อช่วยลดการระคายเคือง     - ยากลุ่มทรานีซามิก (Tranexamic Acid)ซึ่งมีทั้งแบบรับประทานและยาทา เป็นยาที่ใช้แพร่หลายในประเทศญี่ปุ่นและเกาหลี ออกฤทธิ์ผ่านกลไกลดการอักเสบใต้ผิวหนังทำให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลง ฝ้า จึงจางลดลง     - ครีมทาผิวผสมกรดผลไม้ เช่น กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid)หรือกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid)โดยมักมีส่วนผสมของกรดในปริมาณต่ำ จึงก่อการระคายเคืองต่อผิวต่ำ อย่างไรก็ตาม ควรใช้ด้วยความระมัดระวัง ถ้ามีผื่นแดง แสบ หรือเกิดการระคายเคืองต่อผิวควรหยุดใช้ทันที     - ครีมทาผิวขาว (Whitening) เช่น ยาทากลุ่ม อะเซเลอิก (Azelaic Acid)ในแง่ของการลดการสร้างเม็ดสีของผิวหนังนั้น สามารถเทียบเท่ากับยาไฮโดรควิโนน 2 % แต่ข้อควรระวัง คือ ยาชนิดนี้สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้ จึงควรระมัดระวังการใช้ หรือควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ ส่วนการทำงานของยากลุ่มนี้ คือ ไปยับยั้งเอนไซม์ ชื่อ Tyrosinase จึงส่งผลให้การสร้างเม็ดสีของผิวหนังลดลงเช่นกัน     - ครีมทาผิวขาวอื่นๆ (Other Whitening) เช่น วิตามินซี ลิโคริช (Licorice)สารสกัดจากถั่วเหลือง (Soybean Extract) หรือสารสกัดจากธรรมชาติอื่นๆ เช่น ชาเขียว หรือ กลุ่มสมุนไพรไทย เช่น มะหาด บอระเพ็ด และว่านหางจระเข้ เป็นต้น ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มครีมทาผิวขาวซึ่งเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นสารที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่ำและได้ผลค่อนข้างดีในการทำให้ ผิวขาวใส ขึ้น นอกจากนี้ยังมียาทากลุ่มกรดโคจิก (Kojic Acid)ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและได้ผลดีไม่แพ้ยาตัวอื่น

2.การ รักษาฝ้า ด้วยวิธีอื่นๆ     - การลอกผิวด้วยสารเคมี (Chemical Peeling)     - การขัดผิวหน้าด้วยเกร็ดอัญมณี (Microdermabrasion)     - การใช้เลเซอร์/แสง (Laser/Light Therapy)          การดูแล ป้องกัน และ รักษาฝ้า นั้น ต้องใช้ความอดทนและมีวินัยสูง การรักษาควรเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และผู้ป่วยควรตระหนักอยู่เสมอถึงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิด ฝ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดซึ่งต้องทำการหลีกเลี่ยงอย่างต่อเนื่องและเคร่งครัด เพื่อการไม่เกิดขึ้นของ ฝ้า และเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของการ รักษาฝ้า ไม่กลับไปเป็นซ้ำ ซึ่งควรตระหนักถึงผลข้างเคียงจากการ รักษาฝ้า ด้วยวิธีต่างๆ เหล่านั้นด้วย        

ขอบคุณข้อมูลที่มีประโยชน์จาก : Pure Pharmacy(ดูแลโรคผิวหนัง เพื่อผิวสุขภาพดี)

ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นทั้งหมด เป็นวิธีการ รักษาฝ้า โดยใช้ยาประเภทต่างๆ เป็นวิธีการ รักษาฝ้า โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ แต่ก็ยังมีวิธีการ รักษาฝ้า โดยการแบบธรรมชาติแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเราจะกล่าวถึงดังต่อไปนี้

รักษาฝ้า (โดยวิธีแบบธรรมชาติ)  ฝ้า เป็นปัญหาผิวที่ไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นบนใบหน้าของตัวเอง เนื่องจาก ฝ้า เป็นปัญหาที่ลดความมั่นใจของตนเองในการออกไปพบปะผู้คนในสังคม รวมทั้งเป็นปัญหาผิวพรรณที่แก้ยากมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่สามารถแก้ได้เลยทีเดียว ยังมีสมุนไพรที่จะช่วยแก้ปัญหาเรื่อง ฝ้า ที่มารบกวนใจคุณยิ่งนัก ทำให้เราไม่อยากเจอหน้าใครเลย แต่ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เราจะไม่ยอมพบปะผู้คนในสังคมเลย เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม จึงต้องมีเพื่อน มีคนรู้จัก มีครอบครัว ทั้งนี้คุณไม่ต้องวิตกกังวลมากนักเนื่องจากยังมีสมุนไพรที่จะช่วย รักษาฝ้า ของคุณให้จางหายได้เช่นกัน สมุนไพรที่ว่านี้คือ หัวผักกาด ว่านหางจระเข้ และแตงกว่า พืชธรรมชาติที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านเรานี่เอง

หัวผักกาด          พืชพื้นบ้านที่หาซื้อได้ไม่ยากนัก คงไม่มีใครบอกน๊ะว่าไม่รู้จักหัวผักกาด หัวผักกาดนอกจากจะนำมาประกอบอาหารเพื่อนสุขภาพแล้ว คุณยังสามารถนำมันมาทำยารักษาปัญหาผิวพรรณได้อีก โดยนำหัวผักกาดมาหั่นเป็นแผ่นบางๆ จากนั้นนำไปทาบริเวณที่เป็น ฝ้า บนใบหน้าของคุณ ทาถูทาถูให้ทั่ว แล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด แนะนำให้ปฎิบัติเช่นนี้ วันละ 2 ครั้ง คือในตอนเช้ากับเย็น ติดต่อกันเป็นเวลาประมาณ 15 วัน แล้วคุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ฝ้า ที่เป็นปัญหากับคุณมาช้านาน จะจางลงและหายไปแบบที่คุณอาจคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

ว่านหางจระเข้

         เชื่อไหมว่าว่านหางจระเข้ สามารถช่วยในการ รักษาฝ้า ได้ด้วยน๊ะ โดยนำเอาว่านหางจระเข้มา 1 กาบ ปอกเปลือกออก เอาแต่เนื้อใสๆ ที่มีเมือกอยู่ จากนั้นนำเมือกว่านหางจระเข้มาทาบริเวณที่เป็น ฝ้า ให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ให้เมือกที่ทาอยู่แห้ง แนะนำให้คุณปฎิบัติแบบนี้ทุกวัน วันละ 2 ครั้ง เช้า และเย็น โดยให้คุณปฎิบัติแบบนี้ ติดต่อกันนานประมาณ 1 เดือน แล้วคุณจะทึ่งเพราะ ฝ้า ที่เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับคุณที่บังอาจมาอยู่บนใบหน้าของคุณจะจางลงเรื่อยๆ และหายไป แบบที่คุณจะต้องแฮปปี้อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

ประโยชน์ของแตงกวา ในปัจจุบันมีการใช้น้ำแตงกวานำไปผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ อย่างเช่น ครีมล้างหน้า เจลล้างหน้า สบู่ล้างหน้า ครีมแตงกวา ครีมบำรุงผิว ครีมลดริ้วรอย ครีมกันแดด โลชั่น เพื่อช่วยป้องกันผิวแห้งกร้าน ช่วยในการสมานผิว ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล เป็นต้น เมนูแตงกวา เช่น ยำแตงกวาไข่ต้ม ต้มจืดแตงกวายัดไส้ ตำแตง ยำแตงกวาปลาทูน่า พล่าแตงกวาหมูย่าง แตงกวาผัดไข่ แตงกวาดอง ฯลฯ ทรีตเมนต์จากแตงกวาช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดสิว ลดจุดด่างดำ ช่วยบำรุงทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ทำให้หน้ามัน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยบำรุงดวงตา แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ตาบวม บำรุงเส้นผม ป้องกันผมเสีย ฯลฯ
ประโยชน์ของแตงกวา ในปัจจุบันมีการใช้น้ำแตงกวานำไปผสมในเครื่องสำอางต่าง ๆ อย่างเช่น ครีมล้างหน้า เจลล้างหน้า สบู่ล้างหน้า ครีมแตงกวา ครีมบำรุงผิว ครีมลดริ้วรอย ครีมกันแดด โลชั่น เพื่อช่วยป้องกันผิวแห้งกร้าน ช่วยในการสมานผิว ทำให้ผิวดูมีน้ำมีนวล เป็นต้น เมนูแตงกวา เช่น ยำแตงกวาไข่ต้ม ต้มจืดแตงกวายัดไส้ ตำแตง ยำแตงกวาปลาทูน่า พล่าแตงกวาหมูย่าง แตงกวาผัดไข่ แตงกวาดอง ฯลฯ ทรีตเมนต์จากแตงกวาช่วยลดรอยเหี่ยวย่น ลดสิว ลดจุดด่างดำ ช่วยบำรุงทำให้ผิวหน้าอ่อนเยาว์ เพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ทำให้หน้ามัน ทำให้ผิวขาวใส ช่วยบำรุงดวงตา แก้ปัญหาขอบตาคล้ำ ตาบวม บำรุงเส้นผม ป้องกันผมเสีย ฯลฯ

แตงกวา       แตงกวา เป็นพืชพื้นเมืองที่หาซื้อได้ง่ายๆ ตามตลาดทั่วไป สาวๆ ก็ทราบกันดีว่าแตงกวานอกจากจะช่วยในการบำรุงผิวหน้าให้สวยใสแล้ว ยังสามารถช่วย รักษาฝ้า บนใบหน้าของคุณได้ด้วยน๊ะ โดยให้นำเอาแตงกวา 1 ผล หั่นเป็นแผ่นบางๆ นำมาทาใบหน้าตรงบริเวณที่เป็น ฝ้า นั่นแหละจร้า จากนั้นแปะทิ้งไว้ตรงบริเวณที่เป็น ฝ้า หรือทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ให้น้ำแตงกวาที่ทาบนใบหน้าแห้ง แล้วจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แนะนำให้คุณปฎิบัติแบบนี้ วันละ 1 ครั้ง โดยให้ทำแบบนี้ในตอนเย็นหรือก่อนเข้านอน โดยให้ปฎิบัติแบบนี้ติดต่อกันนานประมาณ 1 เดือน แล้วคุณจะทึ่งเพราะ ฝ้า ที่สร้างความรำคาญบนใบหน้าของคุณจะจางลงเรื่อยๆ และหายไป ใบหน้าคุณก็จะสวยใสดั่งใจหวัง จร้า

ฝ้า ที่เป็นปัญหาบนใบหน้าของคุณมาช้านาน ฝ้า สร้างความรำคาญให้คุณทำให้คุณขาดความมั่นใจตนเองเมื่อออกไปพบปะผู้คนไม่น้อย ก็สามารถ รักษาฝ้า ให้จางหายไปได้ โดยวิธีการ รักษาฝ้า มีให้คุณเลือกทั้งแบบใช้ยาแผนปัจจุบัน ซึ่งบางครั้งต้องอยู่ในการควบคุมดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ และ วิธีการ รักษาฝ้า แบบธรรมชาติซึ่งระยะเวลาในการ รักษาฝ้า อาจใช้เวลานานกว่าและวิธีการต่างๆ ค่อนข้างยุ่งยากพอสมควร แต่วิธีการ รักษาฝ้า แบบธรรมชาติก็ปลอดภัย ฝ้า ยังมีวิธีการรักษาอีกแบบคือ ใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งวิธีการ รักษาฝ้า แบบนี้ปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีการที่ช่วยให้คุณมีสุขภาพดีจากภายในทั่วร่างกายอีกด้วย และมีผลต่อการดูแลเรื่อง ฝ่า ให้จางหายได้เช่นเดียวกัน ของแถมที่ได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคือ คุณจะมี ผิวกระจ่างใส ผิวเรียบเนียน เป็นการดูแลสุขภาพทั่วร่างกาย นั่นเอง

แนะนำ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า CREME DE FINN (ครีเม่ เดอ ฟินน์) ครีม บำรุงผิว กลางวัน กลางคืน รอบดวงตา ยกกระชับ ในหลอดเดียว ทดแทน ร้อยไหม,ฟิลเลอร์,ฉีดโบท็อกซ์,ทรีทเม้นท์ (กรุณาคลิกตรง รูปผลิตภัณฑ์เพื่อดูรายละเอียดเพิ่มเติม)

ดู 14 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page